บทที่ 2 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้
แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้
การจัดการความรู้
หมายถึง การรวบรวม,จัดเก็บ,สร้างสรรค์,จัดระเบียบ,แลกเปลี่ยนและประยุกต์ใช้ความรู้ในองค์กร
โดยพัฒนาระบบจากข้อมูลไปสู่สารสนเทศ เพื่อให้เกิดความรู้และปัญญาในที่สุด
เป็นกระบวนการคิดที่เป็นระบบ มีโครงสร้างเพื่อการได้มาและเป็นการสื่อสารความรู้
และเป็นการนำความรู้ไปใช้ในองค์กรเพื่อนำไปสู่การจัดการสารสนเทศให้ดียิ่งขึ้น
ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในในการบริหารองค์กรได้ดี ความรู้แบ่งออกได้เป็น
4 ระดับ คือ ความรู้เชิงทฤษฏี ความรู้เชิงทฤษฏีและเชิงบริบท
ความรู้ในระดับที่อธิบายเหตุผล ความรู้ในระดับคุณค่า ความรู้สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ
ได้สองประเภท คือ ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit
Knowledge) และความรู้แฝงเร้น หรือความรู้แบบฝังลึก (Tacit Knowledge) ความรู้ชัดแจ้งคือความรู้ที่เขียนอธิบายออกมาเป็นตัวอักษร
เช่น คู่มือปฏิบัติงาน หนังสือ ตำรา เว็บไซต์ Blog ฯลฯ
ส่วนความรู้แฝงเร้นคือความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน ไม่ได้ถอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร
หรือบางครั้งก็ไม่สามารถถอดเป็นลายลักษณ์อักษรได้ ความรู้ที่สำคัญส่วนใหญ่
มีลักษณะเป็นความรู้แฝงเร้น อยู่ในคนทำงาน และผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่อง
จึงต้องอาศัยกลไกแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้คนได้พบกัน สร้างความไว้วางใจกัน
และถ่ายทอดความรู้ระหว่างกันและกัน
การจัดการความรู้ หมายถึง การรวบรวม,จัดเก็บ,สร้างสรรค์,จัดระเบียบ,แลกเปลี่ยนและประยุกต์ใช้ความรู้ในองค์กร โดยพัฒนาระบบจากข้อมูลไปสู่สารสนเทศ เพื่อให้เกิดความรู้และปัญญาในที่สุด เป็นกระบวนการคิดที่เป็นระบบ มีโครงสร้างเพื่อการได้มาและเป็นการสื่อสารความรู้ และเป็นการนำความรู้ไปใช้ในองค์กรเพื่อนำไปสู่การจัดการสารสนเทศให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในในการบริหารองค์กรได้ดี ความรู้แบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ คือ ความรู้เชิงทฤษฏี ความรู้เชิงทฤษฏีและเชิงบริบท ความรู้ในระดับที่อธิบายเหตุผล ความรู้ในระดับคุณค่า ความรู้สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้สองประเภท คือ ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และความรู้แฝงเร้น หรือความรู้แบบฝังลึก (Tacit Knowledge) ความรู้ชัดแจ้งคือความรู้ที่เขียนอธิบายออกมาเป็นตัวอักษร เช่น คู่มือปฏิบัติงาน หนังสือ ตำรา เว็บไซต์ Blog ฯลฯ ส่วนความรู้แฝงเร้นคือความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน ไม่ได้ถอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร หรือบางครั้งก็ไม่สามารถถอดเป็นลายลักษณ์อักษรได้ ความรู้ที่สำคัญส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็นความรู้แฝงเร้น อยู่ในคนทำงาน และผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่อง จึงต้องอาศัยกลไกแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้คนได้พบกัน สร้างความไว้วางใจกัน และถ่ายทอดความรู้ระหว่างกันและกัน
SECI Model
SECI Model
โมเดลเซกิ
(SECI Model) ถูกเสนอโดย
โนนากะ กับ ทาเคอุชิ (Nonaka และTakeuchi,1995) คือ
แผนภาพแสดงความสัมพันธ์การหลอมรวมความรู้ในองค์กรระหว่างความรู้ฝังลึก (Tacit
Knowledge) กับความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ใน 4 กระบวนการ เพื่อยกระดับความรู้ให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นวัฎจักร
เริ่มจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Socialization) การสกัดความรู้ออกจากตัวคน (Externalization) การควบรวมความรู้ (Combination) และการผนึกฝังความรู้ (Internalization) และวนกลับมาเริ่มต้นทำซ้ำที่กระบวนการแรก
เพื่อพัฒนาการจัดการความรู้ให้เป็นงานประจำที่ยั่งยืน
โมเดลเซกิ
(SECI Model) ถูกเสนอโดย
โนนากะ กับ ทาเคอุชิ (Nonaka และTakeuchi,1995) คือ
แผนภาพแสดงความสัมพันธ์การหลอมรวมความรู้ในองค์กรระหว่างความรู้ฝังลึก (Tacit
Knowledge) กับความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ใน 4 กระบวนการ เพื่อยกระดับความรู้ให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นวัฎจักร
เริ่มจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Socialization) การสกัดความรู้ออกจากตัวคน (Externalization) การควบรวมความรู้ (Combination) และการผนึกฝังความรู้ (Internalization) และวนกลับมาเริ่มต้นทำซ้ำที่กระบวนการแรก
เพื่อพัฒนาการจัดการความรู้ให้เป็นงานประจำที่ยั่งยืน
1.Socialization (การสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม)
เป็นการแบ่งปันประสบการณ์หรือความรู้ที่ฝังลึกในตัวคน
(tacit knowledge ) ผ่านการสื่อสารแบบเผชิญหน้าเป็นรายบุคคล เช่นเชฟทำอาหารฝึกทำอาหารกับเชฟทำอาหารระดับชาติแบบตัวต่อตัวเพื่อทำเมนูที่หลากหลาย โดยทำการพูดคุยปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าความรู้แฝงที่ถ่ายทอดออกมานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาพูดแต่เป็นการถ่ายทอดโดยการกระทำหรือกิจกรรมให้ผู้ฝึกงานได้เห็นและเลียนแบบพฤติกรรมและนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันได้ ซึ่งเป็นการดึงความรู้ที่ฝังลึกในตัวผู้ถ่ายทอดสู่ผู้ฝึกปฏิบัติผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กันโตยตรง TK -> TK
เป็นการแบ่งปันประสบการณ์หรือความรู้ที่ฝังลึกในตัวคน
(tacit knowledge ) ผ่านการสื่อสารแบบเผชิญหน้าเป็นรายบุคคล เช่นเชฟทำอาหารฝึกทำอาหารกับเชฟทำอาหารระดับชาติแบบตัวต่อตัวเพื่อทำเมนูที่หลากหลาย โดยทำการพูดคุยปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าความรู้แฝงที่ถ่ายทอดออกมานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาพูดแต่เป็นการถ่ายทอดโดยการกระทำหรือกิจกรรมให้ผู้ฝึกงานได้เห็นและเลียนแบบพฤติกรรมและนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันได้ ซึ่งเป็นการดึงความรู้ที่ฝังลึกในตัวผู้ถ่ายทอดสู่ผู้ฝึกปฏิบัติผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กันโตยตรง TK -> TK
2.Externalization (การปรับเปลี่ยนสู่ภายนอก)
เป็นการแปลงความรู้ที่ฝังลึกในตัวคน
(tacit knowledge) หรือการแบ่งปันประสบการณ์ของบุคคล ออกมาเป็นความรู้ที่ชัดแจ้ง(explicit knowledge) ผ่านการสื่อสารโดยการเล่าเรื่องหรือสนทนา (dialogue) ให้กลุ่มสามารถเข้าใจได้
และมีการจดบันทึกความรู้ที่ได้ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เช่นเชฟทำอาหารได้รับการเรียนรู้จากเชฟระดับนาๆชาติมาแล้ว
ทำเป็นหนังสือหรือสูตรเพื่อเผยแพร่ข้อมูลทางหนังสือ หรืออินเตอร์เน็ต
หรือทำเป็นรายงาน เพื่อเผยแพร่ให้กับคนที่สนใจ เป็นต้น TK -> EK
เป็นการแปลงความรู้ที่ฝังลึกในตัวคน
(tacit knowledge) หรือการแบ่งปันประสบการณ์ของบุคคล ออกมาเป็นความรู้ที่ชัดแจ้ง(explicit knowledge) ผ่านการสื่อสารโดยการเล่าเรื่องหรือสนทนา (dialogue) ให้กลุ่มสามารถเข้าใจได้
และมีการจดบันทึกความรู้ที่ได้ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เช่นเชฟทำอาหารได้รับการเรียนรู้จากเชฟระดับนาๆชาติมาแล้ว
ทำเป็นหนังสือหรือสูตรเพื่อเผยแพร่ข้อมูลทางหนังสือ หรืออินเตอร์เน็ต
หรือทำเป็นรายงาน เพื่อเผยแพร่ให้กับคนที่สนใจ เป็นต้น TK -> EK
3.Combination (การผสมผสาน)
เป็นกระบวนการผนวกรวมความรู้ชัดแจ้ง
(explicit knowledge) ที่ได้จากระยะ Externalization เข้าด้วยกัน ซึ่งรวมทั้งมีเชื่อมโยงความรู้ภายในกับความรู้ภายนอกซึ่งอาจเป็นบทความ
เพื่อสร้างความรู้ชัดแจ้งใหม่ๆ เช่น
เชฟทำอาหารได้ศึกษาความรู้เพิ่มเติมจากอินเตอร์เน็ต
แล้วสื่ออื่นๆเพื่อเผยแพร่เป็นเทคนิคแบบใหม่
ซึ่งเกิจากการรวบรวมความรู้จากแหล่งต่างๆ ในกระบวนการนี้จึงเป็นการสร้างสรรค์ความรู้ชัดแจ้ง
(explicit knowledge) สู่ความรู้ชัดแจ้ง(explicit
knowledge) EK -> EK
เป็นกระบวนการผนวกรวมความรู้ชัดแจ้ง
(explicit knowledge) ที่ได้จากระยะ Externalization เข้าด้วยกัน ซึ่งรวมทั้งมีเชื่อมโยงความรู้ภายในกับความรู้ภายนอกซึ่งอาจเป็นบทความ
เพื่อสร้างความรู้ชัดแจ้งใหม่ๆ เช่น
เชฟทำอาหารได้ศึกษาความรู้เพิ่มเติมจากอินเตอร์เน็ต
แล้วสื่ออื่นๆเพื่อเผยแพร่เป็นเทคนิคแบบใหม่
ซึ่งเกิจากการรวบรวมความรู้จากแหล่งต่างๆ ในกระบวนการนี้จึงเป็นการสร้างสรรค์ความรู้ชัดแจ้ง
(explicit knowledge) สู่ความรู้ชัดแจ้ง(explicit
knowledge) EK -> EK
4.Internalization
(การปรับเปลี่ยนสู่ภายใน)
เป็นผลของการเชื่อมโยงการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงจนความรู้ชัดแจ้งนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นฐานความรู้ของบุคคล
นั่นหมายถึงความรู้ชัดแจ้งได้พัฒนาไปเป็นกรอบแนวคิดของผู้เรียนรู้ (Mental model) เช่นเชฟทำอาหารหลากหลายท่านศึกษาเทคนิคการทำอาหารจากตำราหรือสื่อต่างๆ
แล้วนำไปประยุกต์ใช้ในการทำอาหารในแบบของตนเอง
แล้วนำความรู้ปแลกเปลี่ยนกับเชฟท่านอื่นๆต่อไป
(ก็จะเรียกว่าการรับรู้ภายในสู่ภายใน) คือ
การแปลงความรู้จากเชฟคนนั้นๆ ไปเป็น ความรู้โดยนัยของเชฟท่านอื่นต่อไป วงจรSECI จะดําเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่มีสิ้นสุด EK -> TK
เป็นผลของการเชื่อมโยงการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงจนความรู้ชัดแจ้งนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นฐานความรู้ของบุคคล
นั่นหมายถึงความรู้ชัดแจ้งได้พัฒนาไปเป็นกรอบแนวคิดของผู้เรียนรู้ (Mental model) เช่นเชฟทำอาหารหลากหลายท่านศึกษาเทคนิคการทำอาหารจากตำราหรือสื่อต่างๆ
แล้วนำไปประยุกต์ใช้ในการทำอาหารในแบบของตนเอง
แล้วนำความรู้ปแลกเปลี่ยนกับเชฟท่านอื่นๆต่อไป
(ก็จะเรียกว่าการรับรู้ภายในสู่ภายใน) คือ
การแปลงความรู้จากเชฟคนนั้นๆ ไปเป็น ความรู้โดยนัยของเชฟท่านอื่นต่อไป วงจรSECI จะดําเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่มีสิ้นสุด EK -> TK
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น