บทที่ 5 วัฏจักร(วงจรชีวิต) การพัฒนาระบบการจัดการความรู้


ตารางการเปรียบเทียบระหว่าง

Conventional System Life Cycle and KM System Life Cycle

(วงจรชีวิตการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิม และ วงจรการพัฒนาระบบการจัดการความรู้)


Conventional System Life Cycle วงจรชีวิตการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิม


1.Recognition of Need and Feasibility Study การกำหนดความต้องการของระบบ
2.Functional Requirements Specifications กำหนดคุณสมบัติความต้องการการทำงานของระบบ
3.Logical Design (master design plan) ขั้นตอนของการออกแบบเชิงตรรกะของระบบทั้งหมด(ในกระดาษ)
4.Physical Design (coding) การออกแบบเชิงกายภาพ(การสร้างระบบขึ้นมาเอง)
5.Testing ทดสอบ
6.Implementation (file conversion, user training) การนำระบบไปใช้งาน(การติดตั้ง,ฝึกอบรม,ให้พร้อมใช้งาน)
7.Operations and Maintenance นำไปปฏิบัติงานและบำรุงรักษา

KM System Life Cycle วงจรการพัฒนาระบบการจัดการความรู้

1.Evaluate Existing Infrastructure การประเมินโครงสร้างพื้นฐานของระบบที่มีอยู่
2.Form the KM Team การจัดตั้งทีมงานจัดการความรู้
3.Knowledge Capture  การจับความรู้หรือเก็บรวบรวมความรู้
4.Design KMS Blueprint การออกแบบพิมพ์เขียว KMS
5.Verify and validate the KM System การสร้างระบบขึ้นมารวมถึงมีการตรวจสอบว่าระบบมีความเหมาะสม หรือไม่
                        Verify ระบบทำงานได้เหมาะสมกับผู้ใช้หรือไม่
                        validate การตรวจสอบว่าระบบนั้นได้ทำงานถูกต้องหรือเปล่า เช่น คำนวณว่าได้ผลลัพธ์ถูกต้องไหม
6.Implement the KM System การนำระบบ KM ไปใช้
7.Manage Change and Rewards Structure การจัดการของการเปลี่ยนแปลงและขั้นตอนของการให้รางวัล
8.Post-system evaluation การประเมินผลหลังจากการนำระบบไปใช้แล้ว

ทั้งสองระบบนี้มีความแตกต่างกันที่สำคัญ คือ

1.นักวิเคราะห์ระบบจัดการความต้องการสารสนเทศจากผู้ใช้ ส่วนนักพัฒนาความรู้จะจัดการความรู้ที่มาจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
2.ผู้ใช้งานจะรู้ปัญหาแต่ไม่รู้ทางแก้ แต่ผู้เชี่ยวชาญจะรู้ถึงปัญหาและทางแก้
3.วงจรการพัฒนาระแบบแบบดั้งเดิม โดยทั่วไปประกอบด้วยขั้นตอนที่เรียงลำดับ KM SLC จะเป็นการพัฒนาระบบแบบเพิ่มพูนไปเรื่อยๆทีละส่วนจนครบทั้งหมด และมีลักษณะของการโต้ตอบ
4.การทดสอบระบบโดยปกติจะทำในขั้นตอนสุดท้ายขององค์กร ส่วน KM จะทำการทดสอบตั้งแต่เริ่มต้นของวงจรของการพัฒนาระบบ
5.การพัฒนาระบบแบบดั้งเดิมขับเคลื่อนไปด้วยกระบวนการ หรือเรียกอีกอย่างว่ามีการกำหนดความต้องการและสร้างมันขึ้นมา แต่ KM จะมุ่งเน้นถึงผลลัพธ์ จะต้องได้ระบบแบบนี้ขึ้นมาใช้ และมีลักษณะเริ่มต้นช้าๆแต่เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ

ทั้งสองระบบนี้มีสิ่งที่เหมือนกันที่สำคัญ คือ

1.ทั้งสองวิธีเริ่มต้นจากปัญหาและไปสิ้นสุดที่ทางแก้แล้วจะได้ระบบนำมาใช้งาน
2.ทั้งสองเริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมสารสนเทศ
3.มีความสำคัญเหมือนกัน เพื่อให้แน่ใจว่าระบบทำงานได้ผลลัพธ์ถูกต้องและเป็นระบบที่เหมาะสม
4.ผู้พัฒนาระบบทั้งสองแบบมักจะเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมหลายๆอย่างมาใช้สำหรับการออกแบบระบบที่เกี่ยวข้องทั้งหมด



Stages of KMSLC
(ขั้นตอนของวงจารการพัฒนาระบบของการจัดการความรู้)

มีทั้งหมด 8 ขั้นตอน คือ

1.Evaluate Existing Infrastructure การประเมินโครงสร้างพื้นฐานของระบบที่มีอยู่
2.Form the KM Team การจัดตั้งทีม KM
3.Knowledge Captureการดึงความรู้
4.Design KM Blueprint การออกแบบและพัฒนาพิมพ์เขียวของระบบจัดการความรู้
5.Verify and validate the KM System การตรวจสอบความถูกต้องของระบบ/การทำงานได้ถูกต้อง
6.Implement the KM System การนำระบบไปใช้
7.Manage Change and Rewards Structure การจัดการการเปลี่ยนแปลง
8.Post-system evaluation การนำระบบไปใช้ ทำหรือไม่ทำก็ได้แต่ถ้าทำจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อนำไปใช้เราจะได้รู้ว่าเราควรปรับปรุงแก้ไขยังไง

1.Evaluate Existing Infrastructure การประเมินโครงสร้างพื้นฐานของระบบที่มีอยู่

1. มีความรู้อะไรไหมที่จะหายไปจากการเกษียณอายุ
2. ที่นำเสนอจะต้องนำไปใช้ในหลายๆพื้นที่รึเปล่า
3. มีผู้เชี่ยวชาญเพียงพอรึเปล่า และมีความตั้งใจในการสร้างระบบรึเปล่า
4. ปัญหาต่างๆที่เป็นคำถามและต้องการคำตอบรึเปล่า

           The Scope Factor:ปัจจัยที่เกี่ยวข้อกับการพิจาณา

1.ต้องพิจารณาในเชิงกว้างของโครงการในเรื่องของการเงิน ทรัพยากรบุคคลและเงื่อนไขการปฏิบัติ
2.โปรเจคนี้เร่งด่วนรึเปล่า
3.ตรวจสอบให้เห็นว่าเทคโนโลยีปัจจุบันแมทช์กับเทคโนโลยีที่เราต้องการรึเปล่า

2.Form the KM Team การจัดตั้งทีม KM

1. การระบุถึงผู้ที่มีความสำคัญของการพัฒนาระบบ KM

              Team success depends onทีมจะประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับ

1.ความสามารถของสมาชิกในทีม
2.ขนาดของทีม
3.ความซับซ้อนของโครงการ ถ้าซับซ้อนมาโอกาสสำเร็จน้อย ถ้าซับซ้อนน้อยความสำเร็จจะมาก
4.การมีภาวะผู้นำ สั่งการลูกน้องได้ มีความสามารถให้ลูกน้องมาปฏิบัติงานตามที่สั่งได้และแรงจูงใจของทีม ว่าในทีมมีแรงจูงใจมากน้อยแค่ไหน
5.ต้องไม่ไปสัญญามากไปกว่าสิ่งที่จะเป็นความเป็นจริงของระบบ

3.Knowledge Capture การดึงความรู้

1.การดึงความรู้จากสื่อที่หลากหลายหรือจากแหล่งความรู้
2.ต้องดึงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญขององค์กร โดยใช้เครื่องมือและวิธีการที่หลากหลาย
3.นักพัฒนาต้องไปดึงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะนำมาสร้างฐานความรู้และดึงความรู้มาใช้ในระบบ

4.Design the KM Blueprint ขั้นของการออกแบบพิมพ์เขียวของระบบ KM

1.ของเขตต้องถูกคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ
2.มีการตัดสินใจว่าจะเป็นแบบไหนอยู่ในองค์ประกอบของความต้องการของระบบ
3.มีการพัฒนาระดับชั้นที่สำคัญของสถาปัตยกรรมซอฟแวร์ของระบบ Km
4.สามารถใช้งานระหว่างโครงสร้างพื้นฐานที่แตกต่างกันและต้องขยายขนาดได้

5.Testing the KM System ทดสอบระบบ KM

1.การตรวจสอบความเหมาะสมของระบบเพื่อให้แน่ในว่าระบบมีฟังก์ชั่นการทำงานที่ถูกต้องเหมาะสม
2.ตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่ามีผลลัพธ์ในการประมวลผลที่ถูกต้อง
3.ตรวจสอบความผิดพลาดว่าไม่ได้เกิดจากความประมาท

6.Implement the KM System การเอาระบบ KM ไปใช้

1.การนำไปปฏิบัติงานจริงๆในระบบ KM ใหม่และทำได้จริง
2.การเปลี่ยนข้อมูลให้อยู่ในดาต้าหรือไฟล์
3.ต้องมีการอบรมผู้ใช้งานด้วย

           Quality assurance is important, which includes checking forการประกันคุณภาพของระบบเป็นสิ่งที่สำคัญ ประกอบด้วย

1.ความผิดภาพเชิงเหตุเชิงผล
2.ตรวจถึงความคลุมเครือไม่ชัดเจน
3.อะไรที่ไม่สมบูรณ์ต้องไปปรับแก้ให้สมบูรณ์
4.การตรวจความผิดพลาดเช่นเราตรวจแล้วมันถูกแต่ที่จริงคือมันผิดคือมาจากการที่เราเขียนโปรแกรมผิด และ ตรวจแล้วให้คำตอบว่าผิดแต่จริงๆแล้วมันถูก

7.Manage Change and Rewards Structure การนำระบบไปใช้และจัดการเรื่องการให้รางวัล

1.ต้องการลดแรงต่อต้านที่จะเกิดขึ้นจากผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือจากผู้ใช้งานตามปกติหรือผู้ที่ก่อกวนให้เกิดปัญหา
2.แรงต้านทางนี้แสดงออกมาจากการโต้ตอบเช่นการกำหนดพาสเวิร์ดที่ไม่ปฏิบัติ(พาสเวิร์ดยุ่งยาก)หรือหลีกเลี่ยง

8.Post-system Evaluation การประเมินผลหลังจากนำระบบไปใช้แล้ว

1.เพื่อดูผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการนำระบบไปใช้แล้ว อาจส่งผลต่อบุคคล วิธีการปฏิบัติหรือผลการดำเนินงานของธุรกิจ
2.ขอบเขตที่ต้องพิจารณาว่าผลกระทบนั้นจะออกมาดีหรือไม่ดี
3.ต้องใช้การตัดสินใจที่มีคุณภาพก็สามารถทำให้เราแก้ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้
4.ดูจากทัศนคติของผู้ใช้งาน(อาจดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้น)
5.ผลกระทบจากต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการนำระบบจัดการความรู้ไปประมวลผลรวมถึงต้นทุนที่เกิดจากการปรับระบบให้ทันสมัยมากขึ้น




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บทที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับความรู้

บทที่ 2 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้